ข่าวประชาสัมพันธ์

จากสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย

ข่าวเช้าวันที่ 12 กรกฎาคม 2565

นายกรัฐมนตรี ขอบคุณทุกหน่วยงานที่บูรณาการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาความยากจนให้กับประชาชน ไปแล้วกว่าร้อยละ 92.37 พร้อมเน้นย้ำรัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดและเดินหน้าแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องด้วยกลไก ศจพ. เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน

วันนี้ (12 ก.ค. 65) เวลา 08.30 น. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ติดตามความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ด้วยกลไก ศจพ. โดยมี พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนและพัฒนาคนทุกช่วงวัยอย่างยั่งยืนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (อขจพ.) พร้อมด้วยนายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านพัฒนาชุมชนและส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน นายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตราด นายกฤษณ์ คงเมือง ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบูรณ์ นายจำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา นายวิชวุทย์ จินโต ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี นายธนูสินธ์ ไชยสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดอำนาจเจริญ ร่วมรายงานความก้าวหน้าการขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจน โดย ศจพ. ในระดับพื้นที่ ได้มีการขับเคลื่อนการดำเนินงานด้วยการนำข้อมูลครัวเรือนยากจนในระบบบริหารจัดการข้อมูลการพัฒนาคนแบบชี้เป้า (Thai People Map and Analytics Platform – TPMAP) ไปร่วมดำเนินการแก้ไขปัญหาให้เป็นไปตามเป้าหมายการพัฒนา อยู่รอด พอเพียง ยั่งยืน โดยภายหลังจากทีมพี่เลี้ยง ทีมปฏิบัติการฯตำบล ตลอดจน ศจพ.ในระดับต่าง ๆ ได้ลงพื้นที่สำรวจและแก้ไขปัญหารายครัวเรือน ร่วมกับครัวเรือนเป้าหมาย วิเคราะห์สภาพปัญหา และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหา ซึ่งได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว โดยในขณะนี้อยู่ในช่วงดำเนินการให้ความช่วยเหลือ ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม – 30 กันยายน 2565 โดยส่วนราชการและหน่วยงานต่าง ๆ ได้บูรณาการให้ความช่วยเหลือภายใต้โครงการ/กิจกรรมของหน่วยงาน ตามที่ ศจพ.อำเภอ ชี้เป้าหมาย ซึ่งข้อมูลในระบบ TPMAP ณ วันที่ 3 กรกฎาคม 2565 พบว่า ศจพ.อำเภอได้ชี้เป้าให้ส่วนราชการ/หน่วยงานต่าง ๆ ที่มีภารกิจอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายและสอดคล้องตามสภาพปัญหาได้ให้ความช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาให้ครัวเรือนเป้าหมายไปแล้ว จำนวน 602,572 ครัวเรือน คิดเป็นร้อยละ 92.37

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การขับเคลื่อนการดำเนินงานขจัดความยากจนเป็นนโยบายหลักของรัฐบาลด้วยการแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าในครัวเรือน โดยนำข้อมูลจาก TPMAP มาเป็นฐานในการคัดกรองโดยมีทีมพี่เลี้ยงลงไปเพื่อแก้ปัญหา 5 มิติ ทั้งมิติสุขภาพ มิติความเป็นอยู่ มิติการศึกษา มิติรายได้ และมิติการเข้าถึงบริการภาครัฐ ซึ่งมีหลายสภาพปัญหาที่ประชาชนอาจยังไม่ทราบว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร เราก็มีทีมต่าง ๆ เข้าไปช่วยแก้ไขปัญหารัฐบาล และต้องทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้แก้ทีเดียวจบ ซึ่งในตอนนี้เป็นการทำในขั้นแรก คือ อยู่รอดปลอดภัย ขั้นต่อไป คือ พอเพียง และยั่งยืน โดยการที่จะทำให้ยั่งยืนได้ก็ต้องพัฒนาตนเองไปพร้อมกันด้วย

รัฐบาลให้ความสำคัญอย่างยิ่งยวดในการแก้ไขปัญหาความยากจนจากยอดที่เราได้เดินสำรวจจริง โดยในขั้นแรกเราทำสำเร็จ แต่เราจะไม่ทำครั้งเดียวแล้วเลิกราไป เราจะต้องดูต่อไป โดยทีมพี่เลี้ยงติดตามดูต่อไปว่าที่ทำไปแล้วเป็นอย่างไร ทำแล้วประสบความสำเร็จหรือไม่ และส่งเสริมทำให้ยั่งยืนต่อไป โดยขอขอบคุณทุกกระทรวงที่ร่วมกันพุ่งเป้าลงไปช่วยแก้ไขทั้งหมด มีกระทรวงมหาดไทยเป็นหน่วยงานบูรณาการ และขอให้ทุกหน่วยงาน ทุกอำเภอ ทุกทีม มุ่งมั่นเดินทางขับเคลื่อนติดตามการแก้ไขปัญหาต่อไปให้บรรลุเป้าหมายของรัฐบาล ยังผลให้พี่น้องประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน” นายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติม

พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า การแก้ไขปัญหาความยากจนมีความจำเป็นที่จะต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบทบาทของทีมพี่เลี้ยงที่จะต้องเข้าไปดูแลครัวเรือนเป้าหมายอย่างใกล้ชิด และถึงแม้ว่าหน่วยงานภาครัฐจะมีแผนงาน โครงการที่ดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อยู่แล้ว แต่การแก้ไขปัญหาความยากจนแบบพุ่งเป้าจะมาช่วยดูแลประชาชนตามสภาพปัญหาเป็นรายครัวเรือน เพื่อให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดี และอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขต่อไป

โดยในช่วงท้าย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมรับมอบเงิน 16,600,000 บาท ตามโครงการ “บ้านห่วงใย จากใจ GLO” จากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล และส่งมอบให้กับนายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน เพื่อนำไปสร้างบ้านให้กับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย จำนวน 83 หลัง ตามนโยบายขจัดความยากจนของรัฐบาลต่อไป